http://www.dubaimlm.com/content/ContentHome.aspx
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552
หอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพ
0 ความคิดเห็น เดิมเรียก “หอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร” รัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นเมื่อปี ๒๔๔๘
อาคารหอสมุดแห่งชาติ เปิดให้บริการหนังสือหลากหลายประเภท เช่น วารสาร หนังสือพิมพ์ ราชกิจจานุเบกษา นวนิยาย ฯลฯ โดยจัดเป็นหมวดหมู่และแบ่งให้บริการเป็นห้องตามประเภทของหนังสือ เช่น ห้องสมุดศจ. ระพี สาคริก ให้บริการเกี่ยวกับกล้วยไม้ห้องหลวงวิจิตรวาทการเปิดให้บริการหนังสือหายาก ฯลฯ
หอพระสมุดวชิรญาณ เก็บตู้พระธรรมและศิลาจารึก
หอสมุดดนตรีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙
เป็นศูนย์รวบรวมเพลงพระราชนิพนธ์ทุกรูปแบบตลอดจนรวบรวมแผ่นเสียง แถบบันทึกเสียง วีดีทัศน์ แผ่นซีดี โน๊ตเพลง หนังสือ ฯลฯ
ห้องสมุดดนตรีทูลกระหม่อมสิรินธร
เก็บรวบรวมต้นฉบับเพลงไทยและเพลงสากล และเป็นศูนย์ข้อมูลด้านดนตรีสำหรับการค้นคว้าและการทำวิจัยดนตรีไทย ไทยสากล ไทยลูกทุ่งเพลงพื้นเมืองและดนตรีต่างประเทศ
ภายในอาคารจัดแบ่งเป็นห้องต่างๆ เช่น ห้องหลวงวิจิตรวาทการ ห้องสมุดดนตรีทูลกระหม่อมบริพัตร ห้องพระเจนดุริยางค์ ห้องมนตรี ตราโมท ห้องสุนทราภรณ์ ซึ่งในแต่ละห้องจะจัดแสดงผลงานและเกียนรติประวัติของใช้ส่วนตัวหนังสือ ฯลฯ ของผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของห้อง
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
จัดตั้งขึ้นเพื่อเก็บรักษาเอกสารประวัติศาสตร์ของประเทศ โดยเปิดให้บริการ “เอกสารจดหมายเหตุ” เพื่อการค้นคว้าและงานวิจัย แบ่งเป็น ๒ ประเภท
เอกสารจดหมายเหตุลายลักษณ์ ได้แก่ คำสั่ง ใบบอกบันทึกข้อความ ประกาศ พระราชบัญญัติ รายงานการประชุมและวีดิทัศน์ โปสเตอร์ แผนที่ แผนผัง ฟิล์มสไลด์ ภาพถ่ายภาพยนตร์ หลักฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญของชาติ ฯลฯ
หอภาพยนตร์แห่งชาติ
ทำหน้าที่คัดเลือก ตรวจสอบ รวบรวมและเก็บรักษาเอกสารเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และ ศิลปวัฒนธรรมของชาติ รวมทั้งให้บริการด้านข้อมูล เอกสารสำหรับอ้างอิง เพื่อการค้นคว้าและวิจัย
จำนวนฟิล์มภาพยนตร์มีประมาณ ๕๔,๘๐๐ เรื่อง แบ่งเป็นภาพยนตร์ข่าวประมาณ ๔,๐๐๐ เรื่อง และภาพยนตร์สารคดีประมาณ ๘๐๐ เรื่อง โดยจัดเก็บไว้ที่หอภาพยนตร์แห่งชาติ ศาลายา
หอชิราวุธานุสรณ์
ตั้งอยู่ด้านเหนือของอาคารหอสมุดแห่งชาติ สร้างขึ้นเพื่อฉลองวันพระบรมราชสมภพครบ ๑๐๐ ปี ของรัชกาลที่ ๖
พระบรมราชะประทรรศนีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ( พระบรมรูปหุ่นขี้ผึ้ง ) จัดแสดงใน ๑๒ ห้อง โดยแบ่งตามราชกรณียกิจสำคัญ เช่น ห้องทดลองประชาธิปไตยห้องเสวยราชสมบัติ ห้องความเป็นไทยรำลึก ฯลฯ
ห้องพระเกียรติรถ จัดแสดงพระบรมสาทิสลักษณ์ในรัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และรัชกาลที่ ๖ รวมทั้งเหรียญกษาปณ์และเหรียญที่ระลึกในวาระต่างๆ ของรัชกาลที่ ๖
ห้องปรศุราม ประดิษฐานพระบรมรูปหุ่นขี้ผึ้งทรงเครื่องเหมือนจริงของรัชกาลที่ ๖ รวม ๒ องค์
ที่ตั้ง : ถ.สามเสน แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300
หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี
โทรศัพท์ : (662) 281-5212, 281-5313, 281-5449
โทรสาร : (662) 281-5449
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
โทรศัพท์ : (622) 281-1599, 282-3829
โทรสาร : (662) 281-5341
หอภาพยนตร์แห่งชาติ ศาลายา
โทรศัพท์ : (622) 441-0263-4
โทรสาร : (622) 441-0264
รถประจำทาง : 3 9 16 19 30 32 33 64 65 110
รถปรับอากาศ : 3 505 506
ท่าเรือ : เรือด่วนเจ้าพระยา: ท่าเทเวศน์
เวลาทำการ :
ทุกวัน 9.00-19.30 น.
วันหยุดทำการ : วันนักขัตฤกษ์
ไม่เสียค่าธรรมเนียม
ที่จอดรถ : บริเวณภายในหอสมุด
สถานที่ใกล้เคียง : ตลาดเทเวศน์ พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย พิพิธภัณฑ์ฯ เรือราชพิธี
ห้องสมุด สถานที่ราชการ พิพิธภัณฑ์ ถ่ายรูปได้
เขียนโดย
moonoy
ที่
21:35
ป้ายกำกับ: กรุงเทพ, สถานที่เก่า, หอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพ, แหล่งเรียนรู้
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552
ถนนพระอาทิตย์ กรุงเทพ
1 ความคิดเห็นตัวถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา มีวังเจ้านาย บ้านเรือนข้าราชบริพาร และราษฎรเรียงรายที่สองฝั่งถนน ความเจริญรุ่งเรืองของชุมชนถนนพระอาทิตย์ผูกพันอย่างต่อเนื่องกับประวัติ ศาสตร์องกรุงเทพฯ มาจนถึงปัจจุบัน
การสร้างตำหนักแบบเป็นตึกเริ่มในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยรับอิทธิพลสถาปัตยกรรมจากจีนและยุโรป
ตำหนักบางแห่งถูกเปลี่ยนเป็นสำนักงานและอาคารที่ทันสมัย ซึ่งรวมถึงวิถีชีวิตชุมชนที่เปลี่ยนแปลง
จากเดิมอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน
สมัยแรกสร้างมี 14 ป้อมคือ จักรเพชร ผีเสื้อ พระจันทร์พระอาทิตย์ พระสุเมรุ มหากาฬ มหาชัย
มหาปราบ มหายักษ์มหาฤกษ์ยุคนธร อิสินธร เสือทยาน และหมู่ทะลวง ภายหลังป้อมต่างๆทรุดโทรมลง
จึงรื้อทิ้งเกือบหมด คงเหลือเพียงป้อมพระสุเมรุและป้อมมหากาฬ

(ม.ร.ว.เย็น อิสรเสนา) ผู้ซึ่งเป็นข้าราชการสำคัญ คนหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5-7 ปัจจุบันอาคารใช้เป็น สำนักงานของบริษัทเอกชน
ต้นลำพู
ที่ตั้ง ถ.พระอาทิตย์ แขวงบางลำพู เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
ความสำคัญ: เป็นถนนที่มีความสำคัญเกี่ยวเนื่อง กับประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และยังเป็นแหล่งชุมชน ร้านอาหาร ค็อฟฟี่ช็อป และอยู่ใกล้กับพื้นที่จัดงานสำคัญ
รถประจำทาง: 3 6 9 15 19 30 32 33 39 53 64 65 68 82
รถปรับอากาศ: 3 32 68 506
ท่าเรือ: เรือด่วนเจ้าพระยา : ท่าพระอาทิตย์
กิจกรรม-เทศกาล: เทศกาลสงกรานต์ (13 เม.ย.)
และยังมีกิจกรรมอื่นๆ ตลอดปี
ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน: ป้อมพระสุเมร: 2492 บ้านพระอาทิตย์ 2532
ที่จอดรถ: บริเวณด้านหลังป้อมพระสุเมรุ ริมถ.พระอาทิตย์ บริเวณวัดชนะสงคราม ที่จอดรถค่อนข้างจำกัด
สถานที่ใกล้เคียง: ถ.ข้าวสาร พิพิธภัณฑ์ หอศิลป ย่านบางลำพู โรงละครแห่งชาติ วิทยาลัยนาฏศิลป วัดสังเวช
วัดชนะสงคราม
เขียนโดย
moonoy
ที่
04:41
ป้ายกำกับ: ไกด์, ถนนพระอาทิตย์ กรุงเทพ, ทัวร์, ที่เดินเล่น, ที่เที่ยว
อุทยานปลา กรุงเทพ
1 ความคิดเห็นเนื่องจากวัดหลายแห่งที่อยู่ริมคลอง เช่น วัดลานบุญ วัดลาดกระบัง วัดสังฆราชา วัดสุทธาโถชน์ ฯลฯ ได้ช่วยกันอนุรักษ์พันธุ์ปลาโดยประกาศให้เขตหน้าวัดเป็นเขตอภัยทาน “ห้ามจับสัตว์น้ำ” รวมทั้งนำข้าวก้นบาตรมาโปรยเป็นอาหารปลาจึงมีปลาจำนวนมากมาชุมนุม ทำให้เกิดอุทยานธรรมชาติของปลาน้ำจืด เช่น ปลาช่อน ปลาตะเพียน ปลาเทโพ และที่มีมากที่สุดก็คือ “ปลาสวาย”
ที่ตั้ง วัดลานบุญ
1 หมู่ที่ 7 กม. 15 แขวงลาดกระบัง เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ 10520
โทรศัพท์ : (622) 329-0283
รถประจำทาง : 1013 ขึ้นที่ปาก ซ. สุขุมวิท 77
รถปรับอากาศ : 517 ปอ.พ. 23
เวลาทำการ : บริเวณวัด: 8.30-18.00 น.
ค่าธรรมเนียม ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าธรรมเนียม
สถานที่ใกล้เคียง :
บริเวณภายในวัด
ที่จอดรถ : วัดลาดกระบัง สวนพระนคร ร้านกาแฟ
ร้านอาหาร
สามารถ : ถ่ายรูปได้
เขียนโดย
moonoy
ที่
04:30
ป้ายกำกับ: กรุงเทพ, ที่เที่ยว, สถานที่พักผ่อน, อุทยานการเรียนรู้, อุทยานปลา
พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทยพาณิชย์
0 ความคิดเห็นระบบการเงินและการธนาคารของไทยจึงวิวัฒนาการเข้าสากล
เอกสารการเงินที่เกี่ยวข้องจึงทรงคุณค่ากับประวัติศาสตร์ของการธนาคาร
ไทยอย่างยิ่ง
ส่วนที่ 1 วิวัฒนาการเงินตรา เริ่มต้นจากเงินตราสมัยก่อนประวัติศาสตร์
โดยมีสื่อกลางแลกเปลี่ยนคือ สัตว์เลี้ยงทาส หินมีค่ามาถึงโลหะเงิน โลหะทอง
การพัฒนาเป็นเงินตราการสะสมสินค้า
การฝากสินค้ามีค่าและแลกเปลี่ยนสกุลเงินตราจนกระทั่งเกิดธนาคาร
ส่วนที่ 2 วิวัฒนาการธนาคาร
เริ่มจากเหตุการณ์เกิดความต้องการสถาบันการเงินจนต้องเข้าสู่ระบบธนาคาร
สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศเข้ามาดำเนินกิจกรรมในไทย และวิวัฒนาการการจัดตั้ง
“ บุคคลัภย์”ธนาคารพาณิชย์แห่งแรก
ส่วนที่ 3 ต้นแบบธนาคาร การประสพความสำเร็จของบุคคลัภย์ในการดำเนินงานนำไปสู่
การเกิดธนาคารพาณิชย์ อื่นๆ ซึ่งเอกสารและประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานี้น่าสนใจอย่างมาก
ส่วนที่ 4 ไทยพาณิชย์กับการก้าวสู่ยุคปัจจุบัน นำเสนอวิสัยทัศน์
การปรับองค์กรเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศ การแผ่ขยายทางธุรกิจและการนำธนาคารก้าวสู่
ความเป็นสากล
ที่ตั้ง 9 ถ.รัชดาพิเษก แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
โทรศัพท์ :(662) 544-4504 544-4525 544-4462-3
โทรสาร:(662) 937-7454
รถประจำทาง :26 28 39 108 112 126 206
รถปรับอากาศ :38 49 206
545
เวลาทำการ:
อังคาร-เสาร์ 10.00-17.00น.
ปิดทำการ : จันทร์ อาทิตย์ วันนักขัตฤกษ์ วันหยุดครึ่งปีธนาคาร
ค่าธรรมเนียม ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าธรรมเนียม
มัคคุเทศก์ : ในกรณีที่เข้าชมเป็นหมู่คณะ (ต้องแจ้งล่วงหน้า)
ห้องสมุด : ธนาคารไทยพาณิชย์: ข้อมูลสารสนเทศด้านวิชาการ
การเงิน ธนาคาร บริหาร เศรษฐกิจ
เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.00-17.00น.
เสาร์ อาทิตย์ วันนักขัตฤกษ์
ปิดทำการ :วันหยุดครึ่งปีธนาคาร
โทรศัพท์ : (662) 5443615-9 โทรสาร:(662) 5443620
ที่จอดรถ: บริเวณอาคารที่จอดรถ
สถานที่ใกล้เคียง: เว้ลทรัลพลาซ่า พิพิธภัณฑ์ใน ม.เกษตรศาสตร์ เอสซีบี ปาร์คพลาซ่า
ที่มา : tripsthailand
เขียนโดย
moonoy
ที่
04:22
ป้ายกำกับ: ไกด์, ทัวร์, ที่ทัสนศึกษา, พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทยพาณิชย์, มัคคุเทศก์
ศิลปกรรมทองเหลือง กรุงเทพ
0 ความคิดเห็น ด้วยการเรียนรู้จากชุมชนบ้านหล่อ คุณพีร์ พรหมสวัสดิ์จึงได้ริเริ่มหล่อทองเหลืองเลียนแบบงานศิลปกรรมไทยโบราณ เช่น กินรี มโนราห์ สิงห์ ฯลฯ ออกจำหน่าย โดยผลิตเป็นอุตสาหกรรมภายในครัวเรือนมานานกว่า 30 ปี
ผลงานศิลปกรรมของคุณพีร์ได้มีผู้นิยมนำไปตกแต่งบ้าน อาคารสำนักงานและส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ
ที่ตั้ง 250/2 22-27หมู่บ้านเศรษฐกิจ ถ.หมู่บ้านเศรษฐกิจ แขวงบางแค
เขตบางแค กรุงเทพฯ 10160
โทรศัพท์: (662) 421-0176
แฟกซ์: (662) 421-7792
รถประจำทาง: 91
รถปรับอากาศ: 91
เวลาทำการ: จันทร์-เสาร์ 8.00-18.00 น.
วันหยุดทำการ: อาทิตย์ วันนักขัตฤกษ์
ที่จอดรถ: บริเวณหน้าบ้าน
สถานที่ใกล้เคียง: บึงนกน้ำธรรมชาติ พุทธมณฑล สำนักสงฆ์สวนแสงธรรมสนง.เขตบางแค
ที่มา : tripsthailand
เขียนโดย
moonoy
ที่
04:16
ป้ายกำกับ: ศิลปกรรมทองเหลือง กรุงเทพ สถานที่เที่ยว ท่องเที่ยว ไกด์
สวนรมณีนาถ กรุงเทพ
0 ความคิดเห็นและอบรมผู้ต้องโทษให้กลับตนเป็นคนดี เมื่อสร้างเสร็จจึงเรียกว่า "กองมหันตโทษหรือคุกใหม่"
ได้มีการเปลี่ยนชื่อสถานที่นี้หลายครั้ง ในครั้งหลังสุดได้เปลี่ยนเป็น "เรือนจำกรุงเทพมหานคร"
เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ
ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบในปี 2535 กรมราชทัณฑ์จึงทำการย้ายเรือนจำออกไป
แล้วจัดสร้างสวนรมณีนาถอันมีความหมายว่า "สวนแห่งพระนางผู้เป็นที่พึ่ง" ขึ้นแทน
ประติมากรรมสังข์สัมฤทธิ์ ตั้งอยู่กลางสระน้ำพุเฉลิมพระเกียรติ โดยอยู่บนตำแหน่งที่สูงที่สุดของสวน
สังข์และพานหล่อด้วยโลหะทำผิวสัมฤทธิ์ ภายในบรรจุแผ่นยันต์มหาโสฬสมงคลและสังข์องค์จริง
พิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์ อยู่ด้านถนนมหาไชยประกอบด้วยอาคาร 4 หลังคือ ตึกศาลอาญา
ตึกรักษาการณ์ ตึกร้านค้ากรมราชทัณฑ์และอาคารแดน 9 ภายในจัดแสดงเครื่องมือลงฑัณฑ์และวิวัฒนาการของการราชทัณฑ์ไทย
นอกจากนี้ยังมีลานอเนกประสงค์ สนามเด็กเล่น ลานออกกำลังกาย ถนนเดินและวิ่ง ฯลฯ
ภายในบริเวณสวนด้วย

ที่ตั้ง ถ.ศิริพงษ์ แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
โทรศัพท์: (662) 221-5181 แฟกซ์: (662) 221-5181
รถประจำทาง: 1 5 35 37 42 56 รถปรับอากาศ: 7 42
เวลาทำการ: สำนักงาน: จันทร์-ศุกร์ 8.30 -16.30 น. วันหยุดทำการ: เสาร์ อาทิตย์
วันนักขัตฤกษ์ บริเวณสวน: ทุกวัน 5.00- 20.00 น.
ค่าธรรมเนียม-ค่าเข้าชม: ไม่เสียค่าธรรมเนียม
ราชทัณฑ์ โทรศัพท์: (662) 225-1704
เวลาทำการ: อังคาร-เสาร์ 8.30-16.30 น.
ที่จอดรถ: บริเวณด้านหน้าสวน
สถานที่ใกล้เคียง: ชุมชนบ้านบาตร เทวสถาน ย่านขายเครื่องสังฆทาน
วัดเทพธิดาราม วัดมหรรณพาราม วัดสุทัศน์ ศาลเจ้าพ่อเสือ ศาลาว่าการกรุงเทพฯ

ที่มา : tripsthailand
เขียนโดย
moonoy
ที่
04:01
วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552
พระราชวังเดิม
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยามาตั้ง ราชธานีใหม่ที่กรุงธนบุรี ทรงสร้างพระราชวังในบริเวณซึ่งปัจจุบันเรียกว่า “ พระราชวังเดิม”หลังจากรัชกาลที่ ๑ ขึ้นครองราชย์ทรงย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีไปยังฝั่งพระนคร จากนั้นทรงแต่งตั้งให้พระบรมวงศานุวงศ์ที่ไว้วางพระราชหฤทัยมาประทับ เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชวังเดิมให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งกองทัพเรือ
อาคาร ท้องพระโรง เป็นทรงไทยก่ออิฐถือปูน ประกอบด้วยพระที่นั่งองค์ทิศเหนือและองค์ทิศใต้เชื่อมต่อกัน ปัจจุบันเป็นสถานที่จัดงาน ประกอบพิธีสำคัญ รับรองบุคคลสำคัญและห้องประชุม
พระตำหนักเก๋งคู่ หลังใหญ่เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนและไทย หลังคาทรงจั่วแบบจีน ลวดลายจีนที่ตกแต่งจั่วและคอสองเขียนสีแบบปูนเปียก ส่วนหลังเล็กเป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนสันนิษฐานว่าสร้าง
ในสมัยรัชกาลที่ ๑-๒
พระตำหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เป็นตึกแบบอเมริกันถือเป็น “ ตำหนักแบบตะวันตกองค์แรกที่สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์” สร้างขึ้นเมื่อครั้งสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯประทับอยู่ที่นี้
ศาล สมเด็จพะเจ้ากรุงธนบุรี เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ลักษณะอาคารเป็นทรงไทยผสมแบบตะวันตก ตัวอาคารยกสูงมีใต้ถุนล่าง
พระตำหนักเก๋งคู่ หลังใหญ่เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนและไทย หลังคาทรงจั่วแบบจีน ลวดลายจีนที่ตกแต่งจั่วและคอสองเขียนสีแบบปูนเปียก ส่วนหลังเล็กเป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑-๒
พระตำหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เป็นตึกแบบอเมริกันถือเป็น “ ตำหนักแบบตะวันตกองค์แรกที่สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์” สร้างขึ้นเมื่อครั้งสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯประทับอยู่ที่นี้
ศาล สมเด็จพะเจ้ากรุงธนบุรี เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ลักษณะอาคารเป็นทรงไทยผสมแบบตะวันตก ตัวอาคารยกสูงมีใต้ถุนล่าง
ที่ตั้ง: กองทัพเรือ พระราชวังเดิม ถ.วังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ 10600
โทรศัพท์:(662) 475-4117 466-9355
แฟกซ์:(662)466-9355
รถประจำทาง:19 57 83
ท่าเรือ:
1. เรือด่วนเจ้าพระยา:ท่าเตียน
2. เรือข้ามฝาก : ท่าเตียน <-->
ท่าวัดอรุณ
เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์ 8.00-16.00 น.
ค่าธรรมเนียม เข้าชม: ไม่เสียค่าะรรมเนียม แต่ต้องเข้าชมเป็นหมู่คณะ โดยทำหนังสือขออนุญาตถึง
รองประะานมูลนิธิอนุรักษ์ โบราณสถานในพระราชวัง เดิม ล่วงหน้า 1 สัปดาห์
ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน: 2592
รางวัลสถาปนิกสยาม: 2537
ข้อห้าม: ถ่ายภพภายในอาคาร.
ที่จอดรถ: บริเวณภายในกองทัพเรือ
สถานที่ใกล้เคียง: กุฎิเจริญพาศน์ ป้อมวิชัยประสิทธิ์ มัสยิดต้นสน วัดเครือวัลย์
วัดโมลีโลกยาราม วัดระฆังฯ วัดราชสิทธาราม วัดสังข์กระจาย วัดหงส์รัตนาราม วัดอรุณฯ
สะพานเจริญพาศน์
เขียนโดย
moonoy
ที่
00:36
ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาแห่งชาติ ท้องฟ้าจำลอง
0 ความคิดเห็นศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาแห่งชาติ ท้องฟ้าจำลอง
ระบบสุริยะจักรวาล ดาราศาสตร์ อวกาศ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม รวมถึงเทคโนโลยีเกี่ยวพันกับความเป็นจริงและวิถีของมนุษย์มาตลอด ศูนย์วิทยาศาสตร์ฯ จึงจดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินกิจกรรมให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปได้เรียนรู้สิ่ง เหล่านี้ โดยอาศัยสื่อผสม สื่อจำลอง สื่อของจริง และกระบวนการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จากกิจกรรมหลากหลายที่จัดขึ้นในแต่ละ โอกาส
อาคารท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ จะจัดแสดงเป็นรอบๆ โดยแบ่งการแสดงเป็น 2 ส่วนคือ การฉายดาวบนท้องฟ้าในเวลาค่ำและรุ่งสาง ส่วนการฉายสไลด์มัลติวิชั่นจะเปลี่ยนเนื้อเรื่องตามรายการของแต่ละเดือน
อาคารวิทยาสาสตร์และเทคโนโลยี จัดแสดงนิทรรศการถาวร 4 ชั้น เรื่องพื้นฐานการดำรงชีวิตของมนุษย์ ซึ่งผู้ชมสามารถจะทดลอง ทดสอบและสัมผัสสิ่งแสดงต่างๆ ได้ด้วยตนเอง เช่น ชั้นที่ 1 เป็นเรื่องของโลกวิทยาศาสตร์ การสื่อสารดาวเทียม เลเซอร์แสงมหัศจรรย์เมืองกระจกทะลุจักรวาลส่วนชั้นที่ 2 จัดแสดงการเปิดโลกพลังงาน ประวัติเวลาและเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ฯลฯ
อาคารธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดแสดงนิทรรศการถาวรด้วยสื่อที่หลากหลายและทันสมัย ผู้ชมสามารถเรียนรู้และร่วมกิจกรรมต่างๆภายในนิทรรศการด้วย มีทั้งหมด 6 ชั้น จัดแสดงที่ชั้น 3-8 โดยเริ่มตั้งแต่โลกดึกดำบรรพ์และฟอสซิล มนุษย์กับสิ่งแวดล้อมและภัยธรรมชาติ โลกของแมลง Discovery Room Cyber Club และมรดกจากธรรมชาติ
อาคารพิเศษ "โลกใต้น้ำ"จัดแสดงวิวัฒนาการสัตว์น้ำและพันธุ์ปลาสวยงามหลากลายชนิด
นิทรรศการ วิทยาศาสตร์การกีฬา นำเสนอเรื่องความสำคัญของร่างกยของตนเอง ประวัติวิทยาศาสตร์การกีฬา การรู้จักออกกำลังกาย การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย เครื่องออกกำลังกายกลางแจ้ง เช่น หน้าผามหาสนุก ซึ่งจะต้องใช้ส่วนต่างๆของร่างกายในการทดลองด้วย
นอกจากนี้ทางศูนย์ฯ ยังมีการฝึกอบรม บรรยาย สาธิต ทัศนศึกษา เข้าค่ายแข่งขัน รวมทั้งกิจกรรมทางความรู้ที่จัดเป็นประจำและจัดในวันสำคัญต่าง ๆ สำหรับเยาวชนและผู้สนใจทั่วไป
ที่ตั้ง : 928 ถ. สุขุมวิท แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110
โทรศัพท์ : (662) 392-1773, 392-5951-9: 1034, 2008, 2009
โทรสาร : (662) 391-0522
เว็บ อีเมล์ : www.sciedug.nfe.go
รถประจำทาง : 2, 23, 25, 38, 40, 48, 72, 98
รถปรับอากาศ : 1 สาย 2, 8, 23, 25, 38, 511, 513, ปอ.พ. 6
เวลาทำการ : อังคาร-อาทิตย์ 8.30-16.30 น.
วันหยุดทำการ : จันทร์ วันนักขัตฤกษ์
ค่าธรรมเนียม ค่าเข้าชม : ท้องฟ้าจำลอง: เด็ก 5 บาท ผู้ใหญ่ 10 บาท
นิทรรศการและท้องฟ้าจำลอง: เด็ก 15 บาท ผู้ใหญ่ 30 บาท นักบวช: ไม่เสียค่าธรรมเนียม
กิจกรรม เทศกาล : รอบการแสดงประจำวัน:
เวลาทำการ: อังคาร-ศุกร์ 11.00 น. 14.30 น.
เสาร์-อาทิตย์ 14.30 น. 10.00 น. 13.30 น.
รอบจอง รอบพิเศษ (คณะนักเรียน):
เวลาทำการ: อังคาร-ศุกร์ 10.00 น. 13.00 น.
รอบบรรยายภาษาอังกฤษ:
เวลาทำการ: อังคาร 10.00 น.
ค่าธรรมเนียม: วิทยากรบรรยาย 300 บาท
ห้องสมุด: ชั้น 7 อาคาร 4
ร้านขายของที่ระลึก : ชั้น 1 อาคาร 4
ร้านอาหาร : ชั้น 1 อาคารท้องฟ้าจำลอง
สถานที่จอดรถ :
บริเวณภายในศูนย์ฯ
สถานที่ใกล้เคียง :
บ้านช่างไทย เมเจอร์ ซีนีเพลกซ์
ร.ร.ปทุมคงคา วัดธาตุทอง
สถานีขนส่งสายตะวันออก (เอกมัย) สถาบันปรีดี พนมยงค์
องค์การยูเนสโก อุทยานเบญจสิริ

ที่มา : tripsthailand
เขียนโดย
moonoy
ที่
00:08
ป้ายกำกับ: กรุงเทพ, ท้องฟ้าจำลอง, ที่เที่ยว, ศูนย์วิทยาศาสตร์
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552
สะพานพระพุทธยอดฟ้า กรุงเทพ
0 ความคิดเห็น
สะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ
ประวัติโดยย่อ
พ.ศ.2472 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชดำริให้มีการจัดงานเฉลิมฉลองการสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานี
ครบ 150 ปี โดยโปรดฯให้สร้างสิ่งซึ่งจะเป็นอนุสรณ์ถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ผู้ทรงสถาปนากรุงเทพมหานคร
ทรงเห็นว่าเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะสร้างสะพานเชื่อมพระนครกับธนบุรีเข้า ด้วยกันเพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้ร่วมกันรำลึกถึงโอกาสที่รัชกาลที่ 1ทรงย้ายเมืองหลวงจากฝั่งธนบุรีมายังฝั่งพระนคร โดยโปรดฯให้สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ของรัชกาลที่ 1 ไว้ที่เชิงสะพานฝั่งพระนครด้วยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงออกแบบพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 ทรงเครื่องขัตติยราชภูษิตาภรณ์
ประทับเหนือพระราชบัลลังก์ หล่อด้วยสำริด สำหรับสะพานนั้นบริษัททดอร์แมนลอง จากประเทศอังกฤษ เป็นผู้ออกแบบก่อสร้าง
เป็นสะพานเหล็กยาว 229.76 เมตร กว้าง 16.68 เมตร ท้องสะพานสูงเหนือน้ำ 7.50 เมตร
สามารถยกสะพานขึ้นลงเพื่อเปิดทางให้เรือขนาดใหญ่ผ่านได้ ออกแบบให้มีรูปลักษณ์เหมือนลูกศร มีปลายอยู่ที่ฝั่งธนบุรี งบประมาณในการสร้าง 4 ล้านบาท ซึ่งเป็นพระราชทรัพย์ของรัชกาลที่ 7
ส่วนหนึ่ง รัฐบาลส่วนหนึ่ง และเงินบริจาคของประชาชนส่วนหนึ่ง รัชกาลที่ 7 ทรงประกอบพิธีเปิดสะพานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2475 สะพานพระพุทธยอดฟ้า หรือที่เรียกติดปากว่า “สะพานพุทธ” เริ่มเปิดใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2475 เป็นสะพานที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างขึ้นในวาระที่สถาปนากรุงเทพมหานครครบ 150 ปี เพื่อใช้เชื่อมเส้นทางคมนาคมระหว่างฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของพระนคร และเพื่อเป็นการระลึกถึงพระมห กรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าโลกมหาราช ในคราวเดียวกันนี้
ลักษณะของสะพาน เป็นโครงเหล็กขวางยึดข้างบนมีบาทวิถี 2 ข้าง ตัวสะพานแบ่งเป็น 3 ตอน มีความยาว 229.76 เมตร กว้าง 16.68 เมตร ท้องสะพานสูงเหนือน้ำ 7.50 เมตร ตอนกลางยกขึ้นให้เรือผ่านด้วยแรงไฟฟ้าเปิดเป็นช่องกว้าง 60เมตร
ข้ามฟาก ส่วนเวลากลางคืนตั้งแต่ 6 โมงเย็นขึ้นไปจะแปรสภาพเป็นแหล่งช้อปปิ้ง ไปจนถึงเวลาประมาณ เที่ยงคืน เปิดทุกวันยกเว้นวันพุธ
รถโดยสารประจำทาง
สาย 73, 3, 5, 6, 8, 10, 43, 53,
รถโดยสารประจำทางปรับอากาศ
ปอ.73, ปอ.8
ที่มา : moohin , สองเท้าพาเดิน
เขียนโดย
moonoy
ที่
21:38
ป้ายกำกับ: กรุงเทพ, สะพานพระพุทธยอดฟ้า, แหล่งเที่ยว, แหล่ช็อปปิ้ง
วัดสระเกศ กรุงเทพ
0 ความคิดเห็น
วัดสระเกศ อยู่นอกกำแพงเมือง ริมคลองมหานาค ตรงที่บรรจบกับคลองบางลำพู
เดิมเป็นวัดเก่าชื่อวัดสะแก ได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่ทั้ง
พระอารามในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
และพระราชทานนามว่าวัดสระเกศ ส่วนเจดีย์ภูเขาทองนั้นเริ่ม
สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดยทรงเลียนแบบมาจากภูเขาทองในสมัยกรุงศรีอยุธยา แล้วเสร็จในรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานนามว่า "สุวรรณบรรพต"
สูง 77 เมตร บนยอดสุวรรณบรรพต
เป็นที่ตั้งของพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ขุดค้นพบที่เมืองกบิลพัสดุ์
และพิสูจน์ได้ว่าเป็นของพระสมณโคดมซึ่งเป็น ส่วนแบ่งของพระราชวงศ์ศากยราช
เพราะมีคำจารึกอยู่ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ขณะนั้นกำลังทรงผนวชอยู่ที่อินเดีย
จึงเสนอให้ รัฐบาลอินเดีย มาเควส เดอลัน อุปราชอังกฤษประจำประเทศอินเดีย
ส่งพระบรมสารีริกธาตุเข้ามาถวายในฐานะที่ พระมหากษัตริย์
ไทยทรงเป็นกษัตริย์เพียงพระองค์เดียวที่เป็นพุทธมามกะอยู่ในขณะนั้น
ที่มา : moohin
เขียนโดย
moonoy
ที่
00:54
ป้ายกำกับ: กรุงเทพ, วัด, วัดสระเกศกรุงเทพ, แหล่งท่องเที่ยว
วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552
พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานคร
0 ความคิดเห็นอัตราค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานคร
ผู้ใหญ่ 15-60 ปี บัตรราคา 70 บาท
เด็ก อายุ 2-14 ปี บัตรราคา 50 บาท
เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
พระภิกษุ สามเณร และผู้พิการ ไม่เสียค่าเข้าชม
เวลาทำการ
วันอังคาร - วันศุกร์ เวลา 09.00 - 17.00 น.
วันเสาร์ - วันอาทิตย์ เวลา 10.00 - 18.00 น.
ปิดบริการทุกวันจันทร์
ที่มี : พิพิธภัณฑ์เด็ก
เขียนโดย
moonoy
ที่
00:44
ป้ายกำกับ: พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานคร, สถานที่ท่องเที่ยว, แหล่งที่เที่ยว
วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552
พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ กรุงเทพ
0 ความคิดเห็นบนถนนสุขุมวิทจากแยกบางนาไปสำโรงประมาณ 10 กิโลเมตร
ภายใน พิพิธภัณฑ์เป็นที่รวมของข้อมูลทางประวัติศาสตร์
เกี่ยวกับกองทัพเรือไทย และยุทธนาวี ครั้งสำคัญๆ
นอกจากนั้น ยังมีเรือจำลองสมัยต่าง ๆ
เช่น เรือที่ใช้ในพระราชพิธีกระบวนเรือพยุหยาตรา
ชลมารค เรือรบหลวงพระร่วง เรือหลวงมัจฉานุ
ซึ่งเป็นเรือดำน้ำลำแรกของกองทัพไทย
เปิดให้เข้าชม ในวัน ราชการตั้งแต่ เวลา 08.30-16.30 น.
โดยไม่เสียค่าผ่านประตู
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
โทร. 3941997
โทร. 0 2394 1997 หรือ 0 2475 3808
การเดินทางรถโดยสารประจำทางธรรมดาสาย 25, 102
รถปรับอากาศสาย 25, 102, 142, 507, 508, 511 และ 536


ที่มา : moohin
เขียนโดย
moonoy
ที่
23:10
ป้ายกำกับ: ไกท์, ที่เที่ยว, พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ กรุงเทพ, แหล่งท่องเที่ยว
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วัดอรุณราชวราราม(วัดแจ้ง) กรุงเทพ
0 ความคิดเห็นวัดอรุณราชวราราม
วัดอรุณราชวราราม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี ถนนอรุณอัมรินทร์ เป็นวัดที่มีมาตั้งแต่ ครั้งกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดแจ้ง ต่อมาเมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีย้ายพระราชธานีจากกรุงศรีอยุธยามาตั้งอยู่ ณ กรุงธนบุรี ได้โปรดฯ ให้กำหนดเอาวัดแจ้งเป็นวัดในเขตพระราชฐาน ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ ได้อัญเชิญมาจากเวียงจันทน์ วัดนี้ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 2 ซึ่งถือว่าเป็นวัด ประจำรัชกาลที่ 2 เมื่อบูรณะเสร็จ แล้วได้พระราชทานนามว่า วัดอรุณราชธาราม หรือวัดแจ้ง มีจุดเด่นที่ น่าสนใจ คือ พระปรางค์องค์ใหญ่ ซึ่งมีความสูง 82 เมตร กว้าง 234 เมตร เริ่มก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 เสร็จสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 4 และได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดอรุณราชวราราม" จัดเป็นพระอารามหลวงชั้น วรมหาวิหาร เรียกชื่อเต็มว่า "วัดอรุณราชวรมหาวิหาร"
วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร พระปรางค์วัดอรุณฯ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ ที่รู้จักกันทั่วโลก จากแผนที่เมืองธนบุรีซึ่งชาวฝรั่งเศสทำไว้ในรัชสมันสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บ่งบอกว่า วัดแห่งนี้มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเดิมเรียกว่า "วัดมะกอก" เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสร้างพระราชวังได้ทรงถือเอาวัดแห่งนี้ เป็นวัดภายในพระราชวัง ยกเลิกไม่ให้พระสงฆ์จำพรรษา และโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์แล้วพระราชทานนามว่า "วัดแจ้ง" ต่อมารัชกาลที่ 2 ทรงปฏิสังขรณ์และพระราชทานนามว่า "วัดอรุณราชวราราม" ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงเปลี่ยนชื่อวัดเป็น "อรุณราชธาราม"
พระปรางค์ ก่ออิฐถือปูน ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบจาน ชามเบญจรงค์และเปลือกหอย ทำเป็นลายดอกไม้ ใบไม้และลายอื่นๆ ยอดพระปรางค์เป็นนภศูลและมงกุฎปิดทอง
พระระเบียงคต (พระวิหารคต) สร้างแทนกำแพงแก้วหลังคามุงกระเบื้องเคลือบมีประตู ภ ทิศ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย 120 องค์ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงยกย่องว่า "ทรวดทรงงามกว่าระเบียงที่ไหนหมด เป็นศรีแห่งฝีมือในรัชกาลที่ 2 ควรชมอย่างยิ่ง"
ประตูซุ้มยอดมงกุฎ เป็นประตูจัตุรมุข หลังคา 3 ชั้นเฉลียงรอบ มียอดเป็นมงกุฎ ประดับกระเบื้องถ้วยสลับสี
มณฑปพระพุทธบาทจำลอง อยู่ระหว่างพระอุโบสถและพระวิหาร ภายในมีพระพุทธบาทจำลองเป็นหินสลักจากกวางตุ้ง
ศาลาท่าน้ำรูปเก๋งจีน อยู่ที่เขื่อนหน้าวัดมี 6 หลัง
ภูเขาจำลอง รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ต่อมารัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้นำมาไว้ที่วัดนี้
รูปปั้นยักษ์ยืน หน้าประตูยอดซุ้มพรมงกุฎมี 2 ตน ปั้นด้วยปูน ยักษ์ขาว คือ สหัสเดชะ ยักษ์เขียว คือ ทศกัณฑ์
วัดแห่งนี้มีความเจริญรุ่งเรืองคู่กับกรุงรัตนโกสินทร์มาตลอด สถาปัตยกรรมของปูชนียวัตถุสถานล้วนทำอย่างประณีตงดงามสมกับเป็นหนึ่งในวัด เอกของประเทศไทยและตามพระราชประเพณีพระมหากษัตริย์จะเสด็จเป็นองค์ประธานใน งานพระราชพิธีที่สำคัญของทางวัดตลอดจนพระราชทานผ้าพระกฐินทางชลมารค
พระอุโบสถ ถือเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นในสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นศิลปะกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย หลังคาลด 2 ชั้น มุงกระเบื้องเคลือบ หน้าบันทั้งหน้าและหลังเป็นไม้แกะจิตรกรรมฝาผนังเป็นฝีมือช่างในรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 5 พระประธานมีนามว่า "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก" เป็นพระปางมารวิชัยหล่อขึ้นใสมัยรัชกาลที่ 2 ที่ผ้าทิพย์ตรงใบพัดยศบรรจุพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 2
เขียนโดย
moonoy
ที่
11:12
ป้ายกำกับ: พาเที่ยวกรุงเทพ, วัดอรุณราชวราราม(วัดแจ้ง)กรุงเทพ, สถานที่ท่องเที่ยว
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท กรุงเทพ
0 ความคิดเห็นพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
พระ ที่นั่งจักรีมหาปราสาท เป็นพระที่นั่งที่สร้างขึ้นใหม่ ในพระบรมมหาราชวัง
ในช่วงรัชสมัย พระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ตามธรรมเนียมโบราณที่กษัตริย์
มักนิยมสร้างปราสาทมาทุกสมัย และเพื่อเตรียมใช้เพื่อเฉลิมฉลองการสมโภชน์
กรุงรัตนโกสินทร์ครบ 100 ปี
สำหรับ พระที่นั่งสร้างใหม่นี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
ทรงมีพระราชประสงค์ให้สร้างเป็นท้องพระโรง โดยโปรดเกล้าให้สร้างตามแบบ
วิคตอเรียนเรอเนสซอง ที่กำลังเป็นแบบที่นิยมมาก ของอังกฤษในสมัยนั้น
แต่เหลือยอดปราสาท 3 ชั้น ไว้เป็นศิลปะแบบไทยแต่ กว่าพระที่นั่งจะเสร็จสมบูรณ์
ดังที่เห็นกันในทุกวันนี้นั้น บรรดาช่างไทยและฝรั่งพร้อมทั้งขุนนางและพระบรมวงศานุวงศ์
ต่างก็มีการถกเถียงกันมากมาย ถึงรสนิยมและความเหมาะสมในการสร้างสถานที่นี้ในพระบรมราชวัง
แบบโบราณ ซึ่งสมัยนั้นกรุงสยามนิยม จ้างช่างจากยุโรป
ร้อนถึงพระเจ้าอยู่หัวที่ต้องทรงลงมาตัดสินให้ก่อสร้างตามแบบอังกฤษด้วย เหตุผลที่ว่าอังกฤษ
ซึ่งเป็นมหามิตรเมื่อครั้งพระราชบิดา มีความร่มเย็นเป็นสุข ต่างจากประเทศฝรั่งเศสและอเมริกา
ที่มีการรบพุ่งกันอยู่เนืองๆ จึงน่าจะได้เลือกเอา สถาปัตยกรรมของอังกฤษเป็นแบบอย่าง
ในการก่อสร้างได้แต่ ที่ยังอุตส่าห์เหลือยอดทรงไทยให้เราได้ยลนั้นเป็นเพราะ
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
เมื่อครั้นทรงพระเยาว์ที่กราบบังคมทูลทัดทาน มิให้ช่างฝรั่งสร้างหลังคาทรงโดมด้วยเหตุผล
ที่ว่าทำเลที่ตั้งของพระที่นั่ง จักรีมหาปราสาท อยู่กึ่งกลาง ระหว่าง พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน และ
พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เปรียบได้กับสมัยอยุธยาที่พระที่นั่งสรรเพญ์ปราสาท
ถูกโอบล้อมด้วยพระที่นั่งสุรยาสน์อมรินทร์ และ พระวิหารสมเด็จ
ฉะนั้นยอดบนจึงควรจะมีความกลมกลืนและสอดคล้อง
กับตำแหน่งของพระบรมราชวังแม่แบบในสมัยกรุงศรีอยุธยาตามพระราชดำริของพระปฐม
กษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีด้วย
ที่มา : Sanook
เขียนโดย
moonoy
ที่
10:32
ป้ายกำกับ: กรุงเทพ, ไกด์, พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท, สถานที่่องเที่ยว, แหล่งเที่ยว
วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ศาลหลักเมือง กรุงเทพ
2 ความคิดเห็นศาลหลักเมือง
“ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร” คู่บารมีกรุงรัตนโกสินทร์ (ค้นคว้าจากGoogle)
กรุงเทพ มหานคร เมืองฟ้าอมรของประเทศไทยนั้นก็มีเสาหลักเมืองคู่บ้านคู่เมือง มาตั้งแต่ครั้งสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเสาหลักเมืองประดิษฐานอยู่ภายในศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร ใกล้กับวัดพระแก้ว ความแปลกโดดเด่นของศาลหลักเมืองกรุงเทพฯนี้ เห็นจะอยู่ตรงที่มีถึง 2 หลักด้วยกัน โดยเสาหลักแรกสร้างขึ้นเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ร.1) โปรดเกล้าให้ทำพิธียกเสาหลักเมืองสถาปนาพระนครใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 8 ขึ้น 10 ค่ำ ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 เวลา 6.45 นาฬิกา ซึ่งใช้ไม้ชัยพฤกษ์ทำเป็นเสาหลักเมือง โดยประกอบด้านนอกด้วยไม้แก่นจันทน์ที่มี เส้นผ่าศูนย์กลาง 75 ซ. สูง 27 ซม. และกำหนดให้ความสูงของเสาหลักเมืองอยู่พ้นดิน 10 นิ้ว ฝังลงในดินลึก 79 นิ้ว มีเม็ดยอดรูปบัวตูม สวมลงบนเสาหลัก ลงรักปิดทอง ล้วงภายในไว้เป็นช่องสำหรับบรรจุดวงชะตาเมือง เรียกได้ว่าเสาหลักเมืองนี้เป็นสิ่งก่อสร้างอันศักดิ์สิทธิ์แรกๆ ที่อยู่คู่กับพระนคร
ส่วนเสาที่ 2 สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร. 4) ทรงโปรดเกล้าให้มีการขุดเสาหลักเมืองเดิม และจัดสร้างเสาหลักเมืองขึ้นใหม่ทดแทนของเดิมที่ชำรุด เป็นแกนไม้สัก ประกอบด้านนอกด้วยไม้ชัยพฤกษ์ 6 แผ่น สูง 108 นิ้ว ฐานเป็นแท่นกว้าง 70 นิ้ว บรรจุดวงเมืองในยอดเสาทรงมัณฑ์ที่มีความสูงกว่า 5 ม. พร้อมกับอัญเชิญหลักเมืองเดิม และหลักเมืองใหม่ ประดิษฐานอยู่ใกล้กันในอาคารศาลหลักเมืองที่มียอดปรางค์ ก่ออิฐฉาบปูนขาวที่ได้แบบอย่างจากศาลหลักเมืองอยุธยา
ด้านจุลภัสสร ได้แสดงทัศนะถึงเหตุที่เสาหลักเมืองกรุงเทพฯ มี 2 เสา ก็เพราะว่า “ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีกษัตริย์ด้วยกัน 2 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะพระปิ่นเกล้าฯ มีดวงพระชะตาเรียกว่าเสมอกันกับพระองค์ พระองค์ก็เลยสถาปนาให้เป็นพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ที่ 2 ฉะนั้นเมื่อมีพระเจ้าอยู่หัว 2 องค์ในแผ่นดินเดียวกัน จึงโปรดเกล้าให้สถาปนาหลักเมืองขึ้นมาอีกหลักหนึ่ง คือเหมือนกับแผ่นดินซ้อนแผ่นดิน เลยต้องมีเสา 2 ต้น”
ทราบเรื่องราวความเป็นมากันแล้วนะคะ ตรงข้ามวิหารเจ้าพ่อหลักเมืองหรือศาลหลักเมือง
มีเทพารักษ์ผู้พิทักษ์ให้ความร่มเย็นแก่บ้านเมือง 5 องค์ คือ
พระเสื้อเมือง มีหน้าที่คุ้มครองป้องกันทั้งทางบกและทางน้ำ คุมกำลังไพร่พลแสนยากร รักษาบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขปราศจากอริราชศัตรูมารุกราน
พระทรงเมือง มีหน้าที่รักษาการปกครองและกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ดูแลทุกข์สุขของประชาชนให้ร่มเย็นเป็นสุขสวัสดี
พระกาฬไชยศรี เป็นบริวารพระยมมีหน้าที่นำวิญญาณของมนุษย์ผู้ทำบาปไปสู่ยมโลก
เจ้าพ่อเจตคุปต์ เป็นบริวารพระยม มีหน้าที่จดความชั่วร้ายของชาวเมืองที่ตายไปและอ่านประวัติผู้ตายเสนอพระยม
เจ้าพ่อหอกลอง มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเหตุการณ์ต่างๆ อันเกิดขึ้นในแผ่นดิน เป็นต้นว่าคอยรักษาเวลาย่ำรุ่ง ย่ำค่ำ และเที่ยงคืน เกิดอัคคีภัย หรือมีข้าศึกศัตรูมาประชิดพระนคร
นอกจากข้าพเจ้าจะได้รูปภาพที่สวยสด งดงามตามที่ปรารถนาแล้ว ยังดีใจสุดกำลังที่ได้มีโอกาสมาสักการะสิ่งศักดิ์คู่บ้านคู่เมือง ร่วม 30 กว่าปีที่ห่างเหินไปไกล ทั้งๆที่ก็อยู่กรุงเทพฯ
ทีมา thai-tour
เขียนโดย
moonoy
ที่
21:14
ป้ายกำกับ: กรุงเทพฯ, ไกด์, ศาลหลักเมืองกรุงเทพ, สถานที่ท่องเที่ยว
สวนรถไฟ (สวนวชิรเบณจทัศ) กรุงเทพ
0 ความคิดเห็น
สวนรถไฟ (สวนวชิรเบณจทัศ)
รายละเอียด
หนึ่งในวิถีชีวิตอยู่ดีมีสุข ก็คือ การได้พักผ่อนเต็มที่ ออกกำลังกายพอเพียง เพื่อให้ร่างกายตื่นตัว กระฉับกระเฉงอยู่เสมอ สถานที่แนะนำในครั้งนี้ เป็นสวนสาธารณะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจที่มีกิจกรรมที่น่าสนุก นั่นคือการขี่จักรยานออกกำลังกายไปรอบ ๆ สวน สถานที่ว่านี้ก็คือ สวนรถไฟ หรือสวนวชิรเบญจทัศ นั่นเอง
สวนรถไฟ แต่ก่อนเคยใช้เป็นสนามกอล์ฟของการรถไฟแห่งประเทศไทย มีเนื้อที่ 375 ไร่ ต่อมาได้สร้างเป็นสวนสาธารณะเพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการพักผ่อนหย่อนใจและ ออกกำลังกายของประชาชนในย่านใกล้เคียง มีส่วนที่เป็นสนามกอล์ฟเดิมสำหรับให้เด็ก ๆ ได้ฝึกหัดเล่นกอล์ฟ มีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับพันธุ์ไม้แก่ผู้ที่สนใจ มีสวนพฤกษศาสตร์ สวนสมุนไพรนานาชนิด ลานกีฬา สวนพุทธศาสนา สวนพิพิธภัณฑ์รถไฟ ตลอดจน สระว่ายน้ำ และยังจัดเป็นที่กางเต็นท์พักแรมของเด็กนักเรียน ซึ่งสามารถศึกษานกหลายชนิดที่มีอยู่เองตามธรรมชาติได้อีกด้วย เพราะในสวนมีต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก
การเดินทาง
สวนรถไฟอยู่เขตจตุจักร ติดกับสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ใกล้ ๆ สวนจตุจักรนี่เอง ทางเข้าจะอยู่ใกล้กับตึก ปตท. สำนักงานใหญ่ ถ้ามาจาก ถ.วิภาวดีรังสิต แยกสุทธิสาร จะต้องขึ้นสะพานลอยข้ามแยก (ด้านนอก) ให้เลือกช่อง “ดอนเมือง” อย่าผิดช่องเพราะมีหลายทางเลือกมาก เมื่อลงสะพานลอยให้ชิดซ้ายตัดเข้าถนนเล็ก ๆ ตรงทางเข้า ตรงจุดนี้ควรใช้ความระมัดระวังด้วย เพราะระยะทางค่อนข้างกระชั้นชิด ถ้ามาจากทางอื่นไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไรนัก แล้วเลี้ยวเข้าซอยข้าง ปตท.ซึ่งจะเห็นป้ายชื่อสวนวชิรเบญจทัศขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ถ้านำรถมาเสียค่าบำรุงสถานที่ 10 บาท
ลักษณะเด่นและจุดที่น่าสนใจในสวน
ท่ามกลางตึกสูงระฟ้าย่านพหลโยธินที่สื่อถึงความเจริญด้านวัตถุและ
การพัฒนาสู่ความเป็นเมือง อาคารคอนกรีตซึ่งขนานยาวไปกับสองฝั่ง
ถนนสร้างผิวสัมผัสมหาศาลที่เป็นตัวสะสมความร้อนให้วนเวียนอยู่ใน
ตัวเมืองกรุงเทพฯ ขณะที่พื้นผิวละเอียดอ่อนนุ่มของใบไม้ใบหญ้าลด
ปริมาณลงเพื่อเปิดทางให้ความเจริญเหล่านี้มาแทนที่นั่นคือ สาเหตุ
ของอากาศร้อนรุนแรงภายในเมือง และพื้นที่สีเขียวดูจะสามารถบรร-
เทาปัญหานี้ได้
" สวนวชิรเบญจทัศ หรือสวนรถไฟ" จึงเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนถึงบท
บาทของสวนสาธารณะ พื้นที่สีเขียว ที่มีคุณค่าต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตคน
กรุง เพราะเพียงก้าวแรกจะรู้สึกผ่อนคลาย ร่มรื่น เย็นสบาย ต่างจาก
ความร้อนระอุที่แผดเผาอยู่ภายนอก และบรรยากาศที่ปะปนด้วยไอเสีย
ฝุ่นละอองจากยานยนต์ซึ่งวนเวียนบนผิวจราจรที่คับคั่งราวกับได้มาเยี่ยม
โลกสีเขียวในวงล้อมป่าคอนกรีต สวนสาธารณะแห่งนี้ถูกสร้างในแนวคิด
" สวนแห่งครอบครัว " ที่ตระเตรียมกิจกรรมหลากหลายไว้ดึงดูดความสน
ใจของสมาชิกทุกวัยในครอบครัว แทรกอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในพื้นที่เปิดโล่ง
กว้างไพศาลและเขียวขจี สดชื่น นุ่มนวล สบายตาให้ความรู้สึกอิสระ
มีเนินหญ้าสลับกับพื้นราบกว้าง มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานสำหรับ
สวนสาธารณะครบครัน และเป็น "สวนสาธารณะในฝันของนักปั่นจักรยาน
เสือภูเขา" ด้วยเส้นทางจักรยานวิบาก ยาว 3,020 เมตร ลัดเลาะดงไม้ ไต่
เนินไปรอบนอกสวน หรือจะเลือกเดินชมธรรมชาติ วิ่งออกกำลังก็ทำได้
ในเส้นทางใหญ่ พร้อมไปกับกิจกรรมศึกษาธรรมชาติจากประสบการณ์
ตรงในห้องเรียนกลางแจ้ง นั่นคือ ความโดดเด่นที่สุดของสวนวชิรเบญจ- ทัศคงในนาม "อุทยานการเรียนรู้จตุจักร"
บทบาทใหม่ของสวนสาธารณะที่เพิ่มศักยภาพในการเป็นแหล่งท่อง
เที่ยว และแหล่งนันทนาการเปิด ทำให้ผู้ใช้สวนสามารถเข้ามาใช้บริการ ได้ตลอดวัน เกิดขึ้นจากการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงกิจกรรมเพื่อการ
เรียนรู้และนันทนาการในสวนทั้ง 6 จุด เข้ากับกิจกรรมในสวน
สาธารณะข้างเคียง คือ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จำนวน 2 จุด
และสวนจตุจักร อีก 1 จุด รวมเป็นเป้าหมายการเรียนรู้ 9 จุดเชื่อมสวน
ทั้ง 3 เข้าด้วยกันเป็นพื้นที่สี เขียวผืนใหญ่ ถึง 705 ไร่ สร้างคุณค่ามหา-
ศาลต่อระบบนิเวศของเมือง นับเป็นการพัฒนาด้านสังคมควบคู่กับด้าน
จิตใจที่สอดแทรกมาในการพัฒนาพื้นที่ด้านกายภาพ
ที่มา สำนักงานสวนสาธารณะ
เขียนโดย
moonoy
ที่
00:49
ป้ายกำกับ: กรุงเทพ, สถาที่ท่องเที่ยว, สวนรถไฟ (สวนวชิรเบณจทัศ)